อยากเริ่มทำของหวานขาย ให้กลายมาเป็นอาชีพ แต่ยังคิดไม่ออกว่าจะขายเมนูของหวานอะไรดี
บทความนี้คัดมาให้แล้วกับ 15 เมนูของหวานที่ทำได้ง่ายๆ ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่ หรือมืออาชีพก็ทำตามได้หมด แถมยังเป็นเมนูที่บอกเลยว่ายอดฮิต ที่มีทั้งขนมอบ ขนมไทย ขนมเบเกอรี่ หลากหลายรูปแบบที่รับรองว่าขายดีแน่นอน
ใครกำลังมองหาอาชีพเสริม หรืออยากขายขนมหวานเป็นงานประจำ เตรียมมาจดสูตรวิธีการทำ พร้อมลงมือลองทำ เตรียมตัวเปิดร้านกันได้เลยค่ะ
1. ลูกชุบ
พามาทำขนมหวานไทยยอดฮิต ที่นอกจากจะหยิบทานง่ายๆ ยังทำได้ง่ายๆ อีกด้วย เหมาะสำหรับมือใหม่ที่อยากเริ่มขายขนมไทย มีทั้งหน้าตาสีสันสวยงาม และรสชาติถูกปากคนไทยแน่นอน
ส่วนผสมสำหรับทำไส้ถั่วกวน
- ถั่วเขียวเลาะเปลือก 1 + ½ ถ้วยตวง
- น้ำตาลทราย ½ ถ้วยตวง
- กะทิ
- เกลือ ¼ ช้อนชา
ส่วนผสมวุ้นสำหรับชุบ
- ผงวุ้นตรานางเงือก 2 ช้อนชา
- น้ำเปล่า 250 มล.
- น้ำตาลทราย ½ ถ้วยตวง
- สีผสมอาหารตามใจชอบ
- กลิ่นมะลิ ½ ช้อนชา
ขั้นตอนการทำลูกชุบ
วิธีทำไส้ถั่วกวน
- นำถั่วเขียวเลาะเปลือกล้างทำความสะอาด จากนั้นแช่ถั่วเขียวเลาะเปลือกกับน้ำทิ้งไว้ประมาณ 3 ชั่วโมง ให้ถั่วเขียวพองตัวอิ่มน้ำจนนิ่ม แล้วนำไปล้างให้สะอาดอีกครั้ง
- นำถั่วเขียวที่แช่เสร็จแล้วใส่ในหม้อนึ่ง นึ่งนานประมาณ 15-20 นาที ด้วยไฟกลางจนกระทั่งถั่วเขียวสุก
- นำถั่วเขียวนึ่งสุกที่นิ่มแล้วลงใส่ในโถปั่นจนได้เนื้อละเอียด ตามด้วยน้ำตาลทราย เกลือป่น หัวกะทิ แล้วปั่นส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันอย่างละเอียด
- เทส่วนผสมทั้งหมดลงในกะทะด้วยไฟอ่อนๆ และค่อยๆ กวนไส้ไปเรื่อยๆ ประมาณ 1 ชั่วโมง จนได้ไส้ถั่วกวนแห้ง และเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วจึงนำออกจากกระทะ
วิธีทำวุ้นสำหรับชุบ
- ใส่ผงวุ้นตรานางเงือก แช่ในน้ำเปล่าประมาณ 10 นาที ให้วุ้นอิ่มน้ำ
- เทน้ำวุ้นที่แช่ไว้ลงในหม้อ ตามด้วยใส่น้ำตาลทราย แล้วจึงเคี่ยวส่วนผสมให้เข้ากันด้วยไฟกลาง พร้อมคนเรื่อยๆ จนเดือดจัด จากนั้นจึงปิดไฟ ยกลงจากเตา
- เตรียมสีผสมอาหารตามใจชอบ แนะนำให้ใช้สีผสมอาหาร 1 ฝาต่อน้ำ 2 ช้อนโต๊ะ หรือสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความชอบเข้มอ่อนของสี
วิธีประกอบร่างลูกชุบ
- เริ่มปั้นลูกชุบ โดยแบ่งไส้ถั่วกวนเป็นก้อนๆ ปั้นให้เกิดรูปได้ตามต้องการ หลังจากปั้นเสร็จแล้ว ให้นำลูกชุบรูปทรงต่างๆ เสียบกับไม้ปลายแหลม โดยเสียบแค่ปลายไม้
- จากนั้นนำลูกชุบไปชุบกับสีผสมอาหารที่เตรียมเอาไว้ ใช้พู่กันทำให้เกิดลวดลายตามใจชอบ พักไว้ให้แห้ง แล้วจึงค่อยเริ่มชุบวุ้น
- ชุบทั้งหมด 2 ครั้ง คือชุบครั้งแรกพักทิ้งให้แห้ง แล้วจึงเริ่มชุบครั้งที่ 2 โดยเราจะต้องวางและเสียบลูกชุบแต่ละไม้เว้นระยะ ไม่ให้ติดกัน
- เมื่อชุบวุ้นจนแห้งแล้ว นำลูกชุบมาตกแต่งตามใจชอบ พร้อมนำเสิร์ฟ
2. ฝอยทอง
เอาใจคนรักขนมไทย กับขนมหวานสีเหลืองทองสวยทานง่าย ที่นำไปจับคู่ทานกับอะไรก็อร่อย ไม่ว่าจะทานเดี่ยวๆ หรือนำไปทำเป็นไส้ควบคู่กับขนมอื่นๆ ก็ยิ่งช่วยยกระดับความอร่อยมากขึ้นไปอีก
ส่วนผสมฝอยทอง
- ไข่แดงของไข่เป็ด 6 ฟอง
- ไข่แดงของไข่ไก่ 3 ฟอง
- น้ำเปล่า 1 ลิตร
- น้ำตาลทราย 1 กก.
- กลิ่นมะลิ
- ไม้ปลายแหลม
วิธีทำฝอยทอง
- แยกไข่ขาวและไข่แดงออกจากกัน ทั้งไข่เป็ด และไข่ไก่ โดยกรองไข่แดงทั้งหมดด้วยผ้าขาวบาง ให้ได้ไข่แดงที่ละเอียด เพื่อฝอยทองที่เส้นสวย โดยแนะนำให้กรอง 2-3 ครั้ง
- นำหม้อใส่น้ำเปล่า และนำขึ้นตั้งไฟโดยใช้ไฟกลาง จากนั้นใส่น้ำตาล กลิ่นมะลิ
- คนไปเรื่อยๆ จนน้ำตาลละลายเริ่มละลายจึงใช้ไฟอ่อน เมื่อน้ำตาลเริ่มมีความข้นเป็นน้ำเชื่อม และน้ำเชื่อมเริ่มเดือดจนมีลักษณะเป็นน้ำพุ ให้ใช้กรวยโรยไข่แดงลงไป ให้เป็นวงกลม
- หากโรยสูงจะได้ฝอยทองเส้นเล็ก แต่หากโรยแบบต่ำจะได้ฝอยทองเส้นใหญ่ ให้โรยวนไปเรื่อยๆ ซ้ำทางเดิมประมาณ 20 รอบ
- จากนั้นให้ใช้ไม้ปลายแหลมเกี่ยวเส้นไข่ที่สุกแล้วไปนำไปวนในน้ำเชื่อม พร้อมกับนำเส้นฝอยทองมาพักบนตระแกรงให้สะเด็ดน้ำเชื่อมออก
- นำฝอยทองที่ได้มาม้วนให้เป็นก้อนพอดีคำ พร้อมจัดเสิร์ฟ
3. ขนมชั้น
ยกให้เป็นอีกหนึ่งเมนูขนมหวานที่ทำง่าย และยังเป็นขนมไทยยอดนิยมของไทยหลายคน ด้วยรสชาติที่หวานมันละมุนละไม ควบคู่ไปกับเนื้อสัมผัสหนึบหนับ พร้อมกลิ่นหอมๆ น่าทาน
ส่วนผสมขนมชั้น
- แป้งมัน 320 กรัม
- แป้งข้าวโพด 80 กรัม
- แป้งข้าวเจ้า 80 กรัม
- แป้งท้าวยายม่อม 40 กรัม
- น้ำตาลทรายขาว 550 กรัม
- กะทิ 3 ถ้วย
- น้ำเปล่า 1 ถ้วย
- สีผสมอาหาร (สีเขียว, สีฟ้า หรือสีตามใจชอบ)
วิธีทำขนมชั้น
- นำแป้งทั้งหมดมาผสมเข้าด้วยกันและพักทิ้งไว้
- นำน้ำเปล่าขึ้นตั้งไฟกลาง แล้วจึงใส่น้ำตาลตามลงไป เคี่ยวไปเรื่อยๆ และเมื่อน้ำตาลละลายดีจนกลายเป็นน้ำเชื่อมแล้วให้ยกลงจากเตา และพักทิ้งไว้ให้เย็น
- เมื่อน้ำเชื่อมเย็นตัวลงแล้วให้ใส่กะทิ พร้อมคนให้เข้ากัน
- นำกะทิและน้ำเชื่อมไปเทผสมกับแป้งทั้งหมดที่เตรียมเอาไว้ โดยค่อยๆ เททีละนิดพร้อมขยำให้แป้งเข้ากันดี
- หลังจากนั้นแบ่งแป้งออกเป็น 2 ส่วน แล้วนำส่วนที่ 1 ใส่สีผสมอาหารลงไป สามารถใช้ทั้งสีฟ้า เขียว หรือสีตามใจชอบ
- หลังจากนั้นเตรียมนึ่งโดยนำถาดพิมพ์มาเตรียมเอาไว้ แล้วเทแป้งส่วนที่ 1 ที่ใส่สีผสมอาหารแล้วลงไปก่อน เทให้มีความหนาประมาณ 2 มล. แล้วนำไปนึ่งประมาณ 10 นาที
- เมื่อนึ่งส่วนที่ 1 เสร็จแล้ว ให้เทแป้งสีที่ 2 ตามลงไปทับบนหน้าด้วยความหนา 2 มล. แล้วจึงทำแบบนี้สลับชั้นกันไปเรื่อยๆ
- เมื่อทำครบจนได้หลายแล้ว พักทิ้งไว้ให้เย็นแล้วนำออกมาตัดเป็นชิ้นๆ ก่อนเสิร์ฟ
4. บัวลอยไข่หวาน
มาเอาใจคนชอบขนมหวานแบบต้ม ด้วยเมนู “บัวลอยไข่หวาน” ที่มาพร้อมกับแป้งเนื้อเหนียวนุ่ม ตัดกับน้ำกะทิรสชาติหวานมัน พร้อมเพิ่มความอร่อยด้วยไข่หวานที่ทานแล้วเข้ากันสุดๆ บอกเลยว่าเมนูนี้เป็นอีกหนึ่งเมนูยอดฮิตของขนมไทย ที่ถ้าหากใครเป็นสายครีเอทีฟนำมาปรับแต่งรูปร่างของแป้งให้น่ารัก รับรองว่ายิ่งช่วยเพิ่มมูลค่าให้เมนูของหวานนี้ได้แน่นอน
ส่วนผสมตัวแป้งบัวลอย
- แป้งข้าวเหนียว 100 กรัม
- แป้งมัน 10 กรัม
- สีผสมอาหาร
- น้ำเปล่า
ส่วนผสมน้ำกะทิ
- หางกะทิ 2 ถ้วย
- หัวกะทิ 2 ถ้วย
- น้ำตาลปี๊บ 100 กรัม
- น้ำตาลทราย 80 กรัม
- เกลือป่น 1/4 ช้อนโต๊ะ
- ไข่ไก่
วิธีทำบัวลอยไข่หวาน
- เริ่มทำแป้งบัวลอย ด้วยการใส่แป้งข้าวเหนียวลงในชามผสม ตามด้วยแป้งมัน และสีผสมอาหาร หากใครต้องการทำแป้งบัวลอยหลายสี สามารถแยกชามผสม และแบ่งเทสีผสมอาหารตามที่ต้องการ
- จากนั้นค่อยๆ เติมน้ำเปล่า พร้อมกับนวดแป้งไปด้วย ใส่จนน้ำเปล่าหมด หรือจนรู้สึกว่าเนื้อแป้งมีความเนียนนุ่มขึ้น
- นำแป้งมาปั้นเป็นก้อนกลมๆ ขนาดประมาณ 1 ซม. จากนั้นนำไปต้มในน้ำที่เดือดจัด เมื่อแป้งลอยตัวขึ้นมาให้ช้อนแป้งขึ้นมาพักไว้ในน้ำเย็น
- เตรียมทำน้ำกะทิ โดยนำหางกะทิขึ้นตั้งเตาโดยใช้ไฟกลาง ตามด้วยน้ำตาลปี๊บ น้ำตาลทราย และเกลือ คนส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากัน
- ใส่ไข่ลงในกะทิทีละฟอง เมื่อไข่สุกแล้วตักขึ้นมาพักทิ้งไว้
- เติมหัวกะทิลงไปในน้ำกะทิ คนทั้งหมดให้เข้ากัน จากนั้นจึงนำแป้งบัวลอยใส่ลงไปในน้ำกะทิ พร้อมกับต้มทิ้งไว้ให้น้ำกะทิซึมเข้าไปในแป้งบัวลอยให้มีความหวานมันมากขึ้น ประมาณ 15 นาที
- นำบัวลอยพร้อมกับน้ำกะทิตักขึ้นใส่ถ้วย พร้อมกับใส่ไข่หวาน พร้อมจัดเสิร์ฟได้เลย
5. ทับทิมกรอบน้ำกะทิ
เมนูของหวานที่เข้ากับอากาศร้อนๆ ของไทย ต้องยกให้เมนูทับทิมกรอบน้ำกะทิ เมนูของหวานรสสัมผัสกรุบกรอบ อร่อยชื่นใจที่เป็นของหวานดับร้อนได้เป็นอย่างดี ด้วยน้ำแข็งเย็นๆ ที่มาช่วยเพิ่มความอร่อยให้กับเมนูนี้ยิ่งขึ้น
ส่วนผสมทับทิมกรอบน้ำกะทิ
- แห้ว 500 กรัม
- แป้งมัน 500 กรัม
- สีผสมอาหาร (สีแดง หรือสีอื่นตามใจชอบ)
- หัวกะทิ 500 มล.
- เกลือ 1/4 ช้อนชา
- น้ำตาลทรายขาว 100 กรัม
ขั้นตอนการทำทับทิมกรอบน้ำกะทิ
วิธีทำทับทิมกรอบ
- นำแห้วมาหั่นเป็นขนาดสี่เหลี่ยมเล็กๆ คล้ายกับลูกเต๋า แล้วนำไปล้างน้ำสะอาด จากนั้นนำแห้วไปแช่ในสีผสมอาหารประมาณ 15 นาที เพื่อให้สีผสมอาหารติดอยู่ที่แห้ว เมื่อเริ่มได้แห้วสีสวยให้นำไปล้างออก
- จากนั้นนำแห้วที่ได้มาคลุกกับแป้งมัน ให้แป้งมันเคลือบที่ตัวแห้วทั้วหมด เมื่อครบแล้วจึงนำแห้วมาร่อนแป้งส่วนที่เกินออก
- นำน้ำเปล่าขึ้นตั้งไฟ เมื่อน้ำเดือดแล้วให้ค่อยๆ ทยอยใส่แป้งแห้วลงไป พร้อมคนให้แป้งลอยตัวออกจากกัน เพื่อไม่ให้ตัวแป้งติดกันเป็นก้อน
- เมื่อแป้งแห้วเริ่มลอยขึ้นบนผิวน้ำ ให้ตักนำขึ้นพักไว้ที่น้ำเย็นอุณหภูมิห้อง
วิธีทำน้ำกะทิ
- นำกะทิใส่ลงในหม้อขึ้นตั้งไฟอ่อน แล้วจึงใส่น้ำตาลทราย เกลือ
- จากนั้นต้มต่อไปเรื่อยๆ จนน้ำตาลทราย เกลือละลาย และจนน้ำกะทิเริ่มเดือดจึงปิดไฟยกลงจากเตา
- ตักทับทิมกรอบ ใส่ลงในถ้วย ราดน้ำกะทิ ก่อนนำเสิร์ฟให้ใส่น้ำแข็ง เพื่อเพิ่มความอร่อยชื่นใจมากยิ่งขึ้น
6. ขนมถ้วยใบเตย
ใครที่ชอบความอร่อยครบรส ต้องลองมาทำเมนูนี้ กับเมนู “ขนมถ้วยใบเตย” ที่มีทั้งความหวาน มัน เค็มที่ผสมผสานเข้ากันดี เชื่อว่าเป็นอีกหนึ่งเมนูของหวานที่อร่อยทานง่าย ขายง่าย ถูกใจลูกค้าทุกคนแน่นอน
ส่วนผสมขนมถ้วย : ตัวใบเตย
- หางกะทิ 350 มล.
- น้ำตาลทราย 60 กรัม
- น้ำตาลปี๊บ 80 กรัม
- แป้งข้าวเจ้า 60 กรัม
- แป้งเท้ายายม่อม 30 กรัม
- ใบเตย 5 ใบ
ส่วนผสมขนมถ้วย : กะทิ
- หัวกะทิ 250 กรัม
- เกลือ ½ ช้อนชา
- แป้งข้าวเจ้า 40 กรัม
ขั้นตอนการทำขนมถ้วยใบเตย
วิธีทำขนมถ้วย : ตัวใบเตย
- นำใบเตย และหางกะทิมาผสมกัน ก่อนนำไปปั่นจนได้เนื้อใบเตยละเอียด แล้วนำมากรองด้วยผ้าขาวบางเพื่อเอาแต่น้ำใบเตย
- จากนั้นนำแป้งข้าวเจ้า และแป้งเท้ายายม่อมใส่ลงในชามผสมเข้าด้วยกัน แล้วจึงใส่น้ำตาลทราย และน้ำตาลปี๊บตามลงไป จากนั้นค่อยๆ เทน้ำใบเตยกะทิตามลงไป พร้อมขยำให้ส่วนผสมทั้งหมดละลายไปด้วยกัน แล้วนำไปกรอง
วิธีทำขนมถ้วย : กะทิ
- เริ่มทำหน้ากะทิด้วยการนำหัวกะทิ แป้งข้าวเจ้า และเกลือใส่รวมกันในชามผสม แล้วจึงตะล่อมส่วนผสมให้ทั้งหมดเข้ากัน
- ระหว่างนี้ในนำถ้วยตะไลเปล่าไปนึ่งเตรียมความร้อนก่อนด้วยไฟกลาง ประมาณ 5-10 นาที
- เมื่อถ้วยตะไลร้อนได้ที่แล้วให้ปรับเป็นไฟอ่อน แล้วจึงหยอดตัวขนมถ้วยน้ำใบเตยลงไปเป็นฐาน แล้วจึงปิดฝานึ่งประมาณ 15 นาทีด้วยไฟแรง
- เมื่อตัวขนมถ้วยน้ำใบเตยเริ่มสุกได้ที่แล้ว ให้หยดหน้ากะทิตามลงไป แล้วจึงปิดฝานึ่งต่ออีกประมาณ 15 นาที
- พร้อมนำเสิร์ฟได้เรียบร้อยกับขนมถ้วยใบเตยที่หอมหวานมันอร่อย
7. วุ้นใบเตยกะทิสด
สำหรับใครชื่นชอบการทำวุ้น และทานวุ้น เชื่อเลยว่าเมนูวุ้นใบเตยกะทิสด จะเป็นเมนูขนมหวานที่ทำได้ง่ายๆ สำหรับคุณแน่นอน แถมยังรสชาติอร่อย เนื้อสัมผัสอร่อย ทานแค่ชิ้นเดียวไม่เคยพอ!
ส่วนผสมวุ้นใบเตยกะทิสด : ตัววุ้นใบเตย
- น้ำใบเตยเข้มข้น 500 มล.
- ผงวุ้นตรานางเงือก 5 กรัม
- น้ำตาลทราย 80 กรัม
- แม่พิมพ์ หรือถ้วยพิมพ์พลาสติก (จำนวนวุ้นที่ได้ขึ้นอยู่กับขนาดของแม่พิมพ์)
ส่วนผสมวุ้นใบเตยกะทิสด : ตัววุ้นกะทิ
- น้ำกะทิ 200 กรัม
- น้ำเปล่า 200 กรัม
- ผงวุ้นตรานางเงือก 5 กรัม
- น้ำตาลทราย 80 กรัม
- เกลือ 1/2 ช้อนชา
ขั้นตอนการทำวุ้นใบเตยกะทิสด
วิธีทำวุ้นใบเตยกะทิสด : ตัววุ้นใบเตย
- เริ่มทำตัววุ้นใบเตยก่อนด้วยการนำผงวุ้นตรานางเงือกเทใส่ในน้ำใบเตยเข้มข้นที่เตรียมเอาไว้ และพักทิ้งไว้ 15 นาทีให้วุ้นอิ่มน้ำ
- จากนั้นนำขึ้นตั้งไฟด้วยไฟกลาง ตามด้วยใส่น้ำตาลทราย คนให้น้ำตาลทรายละลายดี ส่วนผสมเดือดจัด จึงปิดไฟ และนำลงจากเตา
- นำน้ำวุ้นใบเตยที่ได้เทใส่ลงในแม่พิมพ์ที่เตรียมเอาไว้ โดยเทใส่แค่เพียงครึ่งเดียวของแม่พิมพ์แล้วจึงพักทิ้งไว้ในอุณหภูมิห้อง หรือนำเข้าแช่ตู้เย็น เพื่อให้วุ้นเซ็ตตัว
วิธีทำวุ้นใบเตยกะทิสด : ตัววุ้นกะทิ
- เทผงวุ้นตรานางเงือกลงน้ำเปล่าที่ผสมกับน้ำกะทิสดแล้ว และจึงพักทิ้งไว้ 15 นาทีเพื่อให้ผงวุ้นอิ่มน้ำ
- จากนั้นนำน้ำกะทิขึ้นตั้งไฟอ่อน เติมน้ำตาลทรายและเกลือ โดยสามารถปรับลดความหวาน ความเค็มได้ตามใจชอบ คนจนส่วนผสมทั้งหมดละลายเป็นเนื้อเดียวกัน และเดือดขึ้นขอบหม้อจึงปิดไฟ ยกลงจากเตา
- เทวุ้นกะทิใส่บนวุ้นใบเตยที่เซ็ตตัวดีแล้วในถาด โดยใส่ให้เต็มอีกครึ่งหนึ่งของพิมพ์ และพักทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้อง หรือนำไปแช่ตู้เย็นเพื่อให้วุ้นเซ็ตตัว
- เมื่อวุ้นเซ็ตตัวดีแล้วให้นำวุ้นออกมาตัดแบ่งเป็นชิ้นพอดีคำ เตรียมนำจัดเสิร์ฟ
8. คุกกี้เนยสด
หากใครชอบขนมอบ ยกให้เป็น “คุกกี้เนยสด” เมนูคุกกี้ยอดฮิตที่ทำได้ง่ายกว่าที่คิด เพราะใช้ส่วนผสมแค่ไม่กี่อย่าง และขั้นตอนการทำยังไม่ยุ่งยาก เป็นของหวานที่ซื้อไปทานเองจิบคู่กับชา กาแฟ หรือซื้อไปเป็นของฝากก็อร่อยง่ายๆ ทุกคนต้องชื่นชอบแน่นอน
ส่วนผสมคุกกี้เนยสด
- แป้งอเนกประสงค์ 240 กรัม
- น้ำตาล 90 กรัม
- เนยจืด 200 กรัม
- เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
- ผงฟู 1/2 ช้อนชา
- กลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา
วิธีการทำคุกกี้เนยสด
- นำแป้งอเนกประสงค์ และผงฟู มาร่อนด้วยกัน
- จากนั้นวอร์มเตาอบรอไว้ก่อนที่ไฟบนล่าง ในอุณหภูมิ 175 องศา
- นำเนยจืดมาตีให้ขึ้นฟูเล็กน้อย ตามด้วยใส่น้ำตาลทราย และกลิ่นวานิลลาตามลงไปเพื่อเพิ่มกลิ่นหอมให้คุกกี้ จากนั้นตีให้ส่วนผสมทั้งหมดพอเข้ากัน
- ค่อยๆ ทยอยใส่แป้งอเนกประสงค์ที่ผสมผงฟูแล้วลงไปตีกับเนย โดยแบ่งใส่เป็นรอบๆ ประมาณ 3 รอบ เพื่อให้ตีเนยผสมง่ายขึ้น และได้เนื้อคุกกี้ที่ละเอียดมากขึ้น
- ตักคุกกี้ใส่บนถาดอบ โดยกะขนาดของคุกกี้ 1 ชิ้น ประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ แบ่งให้แต่ละชิ้นมีขนาดเท่าๆ กัน จากนั้นนำเข้าเตาอบประมาณ 15 นาที
- เมื่ออบเสร็จแล้ว ให้นำคุกกี้ออกมาพักทิ้งไว้ประมาณ 2-3 นาที เพื่อรอให้คุกกี้เริ่มเซ็ตตัวและแข็งขึ้นก่อน แล้วจึงค่อยแซะออกจากถาด
- เมื่อแซะออกจากถาดแล้ว ให้นำวางบนตะแกรงเพื่อคลายความร้อน เมื่อเย็นแล้วแนะนำให้ใส่เก็บใส่ขวดโหล เตรียมเสิร์ฟได้เลย
9. เค้กกล้วยหอม
เมนูขนมอบที่ทำได้ง่ายๆ กล้วยๆ สมชื่อ กับ “เค้กกล้วยหอม” ที่มาครบทั้งความหวานอร่อย และความหอมของกล้วย ยิ่งใครที่ชอบความหวานจากกล้วยแบบธรรมชาติ ไม่ต้องเติมความหวานเพิ่มเติม บอกเลยว่านี่อาจจะกลายเป็นเมนูโปรดได้ไม่ยาก ถ้าทำมาขาย รับรองว่าสูตรนี้ขายดีแน่นอน
ส่วนผสมเค้กกล้วยหอม
- แป้งอเนกประสงค์ 200 กรัม
- เกลือ 1/2 ช้อนชา
- ผงฟู 1/2 ช้อนชา
- เบกกิงโซดา 1 ช้อนชา
- ไข่ไก่ 2 ฟอง
- น้ำตาลทราย 150 กรัม
- นมสด 120 มล.
- กล้วยหอมแบบงอม 200 กรัม
- เนยจืด 80 กรัม
วิธีการทำเค้กกล้วยหอม
- ร่อนแป้งอเนกประสงค์ ผงฟู เบกกิ้งโซดา และเกลือเข้าไว้ด้วยกัน
- หลังจากนั้นนำไข่ไก่ และน้ำตาลทรายมาตีเข้าด้วยกันจนขึ้นฟู
- นำเนยจืดที่ละลายแล้ว ตามด้วยนมสด และกล้วยหอมแบบงอมที่บดแล้วให้เข้าด้วยกัน
- จากนั้นนำเหล่าของแห้งที่ร่อนเอาไว้แล้ว มาตะล่อมผสมให้เข้ากัน
- นำแป้งที่ผสมเสร็จแล้ว มาใส่พิมพ์ที่เตรียมเอาไว้ แนะนำให้ตักใส่แค่เพียง 3/4 ของพิมพ์ เพื่อเว้นพื้นที่ไว้ให้แป้งเค้กกล้วยหอมขึ้นฟู
- นำไปอบที่อุณหภูมิ 180 องศาไฟบนล่าง 20 นาที จากนั้นนำเค้กกล้วยหอมที่สุกแล้ว ออกมาพักไว้ให้หายร้อนก่อนนำเสิร์ฟ
10. บราวนี่
ยกให้เป็นเมนูที่อร่อยที่ถูกใจหลายคน กับเมนู “บราวนี่” ที่สามารถทำได้ง่ายๆ แค่มีเตาอบแค่เพียงเครื่องเดียว แต่บอกเลยว่าความอร่อยคือ 10 เต็ม 10 และยังเป็นเมนูที่สามารถดัดแปลงได้หลายแบบ ไม่ว่าจะบราวนี่หน้ากรอบ หน้านิ่ม หรือเนื้อแบบฉ่ำๆ
ส่วนผสมบราวนี่
- แป้งอเนกประสงค์ 125 กรัม
- ผงโกโก้ 30 กรัม
- ผงฟู 1/2 ช้อนชา
- เกลือ 1/4 ช้อนชา
- ดาร์คช็อกโกแลต 85 กรัม
- น้ำตาลทราย 180 กรัม
- เนยเค็ม 125 กรัม
- ไข่ไก่ 3 ฟอง
- กลิ่นวานิลลา 2 ช้อนชา
- อัลมอนสไสด์ 1/3 ถ้วยตวง
วิธีการทำบราวนี่
- นำดาร์คช็อกโกแลต และเนยเค็มมาละลายด้วยกัน คนให้เป็นเนื้อเดียวกัน พร้อมพักทิ้งไว้ให้หายร้อน
- ร่อนส่วนผสมแป้งอเนกประสงค์ ผงฟู และโกโก้ให้เข้ากัน ระหว่างนี้แนะนำให้เปิดเตาอบวอร์มไฟไว้ก่อนที่อุณหภูมิ 180 องศา
- ตีไข่ไก่ เกลือ และน้ำตาลเตรียมไว้ ตีไปเรื่อยๆ จนกว่าส่วนผสมทั้ง 3 จะเข้ากันกลายเป็นสีอ่อน และขึ้นฟู
- ค่อยๆ เทช็อกโกแลต และกลิ่นวนิลาลงไปในไข่ที่ตีแล้ว จากนั้นคนให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากัน
- ทยอยใส่แป้ง ผงฟู และโกโก้ที่ร่อนแล้วลงในชามผสม พร้อมใช้ไม้พายค่อยๆ ตะล่อมแป้งให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน
- เทแป้งที่ได้ลงถาดที่รองด้วยกระดาษไข เพื่อกันการติดถาดของตัวบราวนี่ เสร็จแล้วเกลี่ยเนื้อขนมให้เรียบร้อยให้ทั้งถาดหน้าเรียบเสมอกัน
- จากนั้นใส่อัลมอนด์สไลด์โรยบนหน้าให้สวยงาม
- นำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิไฟบนล่าง 180 องศา อบประมาณ 25-30 นาที เมื่อครบเวลาแล้วนำออกจากเตาอบ พักให้เย็นลงจึงตัดแบ่งเสิร์ฟเป็นชิ้นๆ
11. ฟักทองสังขยา
ไม่จำเป็นต้องมีเตาอบก็ทำเมนูขนมหวานเมนูนี้ได้ กับเมนูขนมหวานแบบไทยๆ อย่าง “ฟักทองสังขยา” ที่ได้ทานทั้งฟักทองเนื้อเนียน เนื้อแน่น คู่กับสังขยาไข่ที่หวานมันอร่อย ใครจะไปเชื่อว่าจะอร่อยเข้ากันมาก! เมนูนี้จะหยิบมาทานมื้อไหน ก็อร่อย
ส่วนผสมฟักทองสังขยา
- ฟักทอง 2 ลูก
- หัวกะทิ 250 กรัม
- น้ำตาลปี๊บ 500 กรัม
- ไข่ไก่ 3 ฟอง
- ไข่เป็ด 3 ฟอง
- ใบเตย 5 ใบ
- เกลือ 1/4 ช้อนชา
วิธีทำฟักทองสังขยา
- เจาะฟักทองให้เป็นสี่เหลี่ยมหรือวงกลม พร้อมกับใช้ช้อนตัก และขูดเอาไส้ฟักทองออก ก่อนจะล้างด้วยน้ำเปล่าให้สะอาด และนำไปผึ่งให้แห้ง
- ใส่หัวกะทิ น้ำตาลปี๊บ ไข่ไก่ ไข่เป็ด และเกลือลงไปในชามผสม ก่อนจะใช้ใบเตยมาขยำให้ส่วนผสมทุกอย่างเข้ากัน จนกลายเป็นน้ำสังขยา
- ใช้กระชอนกรองน้ำสังขยาแล้วเทลงในลูกฟักทอง
- นำไปนึ่งในน้ำเดือด ก่อนจะใช้ไฟอ่อน โดยนึ่งประมาณ 1 ชั่วโมง แต่แนะนำให้หมั่นเปิดฝา และเช็คฟักทองเรื่อยๆ ทุก 20 นาที
- เมื่อฟักทองสุกแล้ว หั่นเป็นชิ้นๆ ให้ทานง่าย เตรียมพร้อมเสิร์ฟ ทานแบบอุ่นๆ ยิ่งอร่อย หรือจะนำไปแช่ตู้เย็นก็ฟินไปอีกแบบ
12. วาฟเฟิลนมสด
ใครที่เป็นสายขนมตะวันตกที่ทำง่ายๆ ต้องยกให้เมนูนี้ กับเมนู “วาฟเฟิลนมสด” ที่เด็กทานก็ชอบ ผู้ใหญ่ทานก็ฟิน แถมยังสามารถนำใส่ไส้ได้หลากหลายรูปแบบ จะทานเป็นมื้อเช้า หรือขนมหวานมื้อระหว่างวัน ก็ทานได้หมด อร่อยไม่มีเบื่อ
ส่วนผสมแป้งวาฟเฟิลนมสด
- แป้งสาลีอเนกประสงค์ 400 กรัม
- นมสดรสจืด 500 กรัม
- น้ำตาลทราย 150 กรัม
- ผงฟู 5 ช้อนชา
- ไข่ไก่เบอร์หนี่ง 4 ฟอง
- เนยสดแบบเค็ม 50 กรัม
- น้ำมันพืช 50 กรัม
- เกลือ 3/4 ช้อนชา
- กลิ่นวนิลา 4 ช้อนชา
- ไส้วาฟเฟิลตามใจชอบ เช่น ข้าวโพดต้ม ลูกเกด ช็อกโกแลตชิพ เป็นต้น
วิธีการทำวาฟเฟิลนมสด
- เตรียมชามผสม นำแป้งสาลีอเนกประสงค์ และผงฟูมาร่อนรวมกัน ก่อนพักทิ้งไว้
- เตรียมอีกชามผสม ใส่ไข่ไก่ลงไป ตามด้วยน้ำตาลทราย เกลือ ตีผสมให้เข้ากัน
- นำชามผสมแป้งค่อยๆ ลงมาเทผสมในชามผสมไข่ไก่ ก่อนใช้ตะกร้อมือตีผสมตัวแป้งให้เข้ากัน
- จากนั้นค่อยๆ ทยอยใส่นมสดลงไป พร้อมตะล่อมให้ค่อยๆ เข้ากัน ตามด้วยเนยเค็มที่ละลายเอาไว้แล้ว คนผสมให้เข้ากันทั้งหมด จนได้แป้งสำหรับวาฟเฟิล
- ทาเนยบางๆ ลงบนเครื่องทำวาฟเฟิล ก่อนตักแป้งใส่ลงในเครื่อง ตามด้วยไส้วาฟเฟิลตามใจชอบ
- หลังจากตัวแป้งเริ่มเหลือง และมีกลิ่นหอม ให้พลิกกลับด้านแป้งวาฟเฟิลอีกด้านนึง ก่อนค่อยๆ แซะออกจากเตา พร้อมเสิร์ฟ
13. บลูเบอร์รี่ชีสพาย
มือใหม่หัดทำขนมหวานง่ายๆ สำหรับขาย ควรเริ่มจากเมนูนี้เลย เพราะเป็นเมนูที่ไม่ต้องใช้เตาอบ ส่วนผสมน้อยชิ้น และยังสามารถหาซื้อได้ทั่วไป เป็นเมนูของหวานที่ทานได้ง่ายๆ แต่มีหลายรสชาติในคำเดียว
ส่วนผสมบลูเบอร์รี่ชีสพาย
- บลูเบอร์รี่ 1 กระป๋อง
- ครีมชีส 500 มล.
- นมข้นหวาน 4 ช้อนโต๊ะ
- นมจืด 90 มล.
- เนยชนิดเค็ม 100 กรัม
- แครกเกอร์ 1 ถุง (ประมาณ 10 ชิ้น)
- น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ
- แม่พิมพ์แบบฟรอยด์
ขั้นตอนทำบลูเบอร์รี่ชีสพาย
- นำแครกเกอร์มาบดให้ละเอียด ก่อนเทใส่ชามผสมเตรียมเอาไว้
- จากนั้นนำไปผสมกับเนยเค็มที่ละลายแล้ว พร้อมค่อยๆ คลุกเคล้าผสมให้เข้ากัน
- เตรียมแม่พิมพ์ จากนั้นนำแครกเกอร์มากดๆ ลงบนแม่พิมพ์ให้แน่นเป็นตัวฐาน ก่อนจะนำเข้าช่องฟรีสประมาณ 15 นาที เพื่อให้แครกเกอร์เซ็ตตัว
- จากนั้นนำครีมชีสมาเตรียมใส่ชามผสม ตามด้วยนมข้ม นมสด และน้ำมะนาว พร้อมตีผสมให้ทั้งหมดเข้ากัน
- นำถาดแม่พิมพ์แครกเกอร์ออกจากตู้เย็น พร้อมตักครีมชีสเทให้ทั่วหน้าแครกเกอร์ และนำไปแช่ตู้เย็นประมาณ 15 นาที
- เมื่อแครกเกอร์ครีมชีสเซ็ตตัวดีแล้ว นำออกจากตู้เย็น ก่อนตักบลูเบอร์รี่วางให้ทั่ว พร้อมนำเสิร์ฟ
14. บาสก์ชีสเค้ก
ชีสเค้กหน้าไหม้เมนูของหวานสุดโปรดของใครหลายคน ที่บอกเลยว่าทำง่ายมากกว่าที่คิด กับเนื้อเค้กเนียนนุ่ม ตัดกับความชีสที่เปรี้ยวหวานลงตัว และกลิ่นหอมไหม้ของหน้าเค้ก
ส่วนผสมบาสก์ชีสเค้ก
- ครีมชีส 500 กรัม
- แป้งอเนกประสงค์ 30 กรัม
- น้ำตาลทราย 170 กรัม
- ไข่ไก่ 3 ฟอง
- เกลือ 1/2 ช้อนชา
- กลิ่นวานิลลา1 ช้อนชา
- นมข้นจืด 180 มิลลิลิตร
- วิปปิ้งครีม 120 มิลลิลิตร
วิธีการทำบาสก์ชีสเค้ก
- นำครีมชีสมาตีให้นุ่ม ก่อนจะใส่น้ำตาลทราย และตีต่อให้เข้ากัน ระหว่างนี้ให้วอร์มเตาอบไฟบนล่าง ที่ 200 องศา
- ใส่เกลือ กลิ่นวานิลลา และใส่ไข่ไก่ตามลงไป ก่อนจะตีให้ทั้งหมดเข้ากัน
- จากนั้นค่อยๆ เทนมข้นจืด และวิปปิ้งครีมตามลงไป พร้อมกับผสมทั้งหมดให้เป็นเนื้อเดียวกัน
- ร่อนแป้งอเนกประสงค์ลงไป และค่อยๆ ตะล่อมให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากัน
- นำส่วนผสมที่เข้ากันแล้วเทลงในพิมพ์ และนำไปอบประมาณ 1 ชั่วโมง หรือจนกว่าเค้กจะสุกดี
- เมื่อครบเวลาแล้วพักทิ้งไว้ให้เย็น ก่อนจะนำไปแช่ตู้เย็นเพื่อให้เค้กเซ็ตตัวดีก่อนนำเสิร์ฟ
15. ขนมบ้าบิ่นมะพร้าวอ่อน
อีกหนึ่งเมนูของหวานโบราณที่กลับมาฮิตติดท็อปในยุคนี้ กับเมนู “ขนมบ้าบิ่นมะพร้าวอ่อน” ที่หลายคนนำกลับมาทำให้กลายเป็นเมนูสมัยใหม่ที่ทำได้ง่ายๆ จะใช้เตา กระทะ หรือเตาอบวาฟเฟิล ก็ปรับใช้ได้หมด
ยิ่งถ้าโรยมะพร้าวอ่อนเยอะๆ บอกเลยยิ่งฟิน! ครบทั้งรสชาติอร่อน และรสสัมผัสเหนียวนุ่มหอม ทานร้อนๆ ยิ่งเพิ่มความอร่อย
ส่วนผสมขนมบ้าบิ่นมะพร้าวอ่อน
- แป้งข้าวเหนียวขาว 300 กรัม
- แป้งข้าวเหนียวดำ 50 กรัม
- น้ำตาลทราย 200 กรัม
- น้ำเปล่า 200 มล.
- กะทิ 250 มล.
- ผงฟู 1/2 ช้อนชา
- เกลือ 1/2 ช้อนโต๊ะ
- ไข่ไก่เบอร์สอง 1 ฟอง
- มะพร้าวขูดขาว 350 กรัม
- เนื้อมะพร้าวอ่อน 350 กรัม
วิธีทำขนมบ้าบิ่นมะพร้าวอ่อน
- นำแป้งข้าวเหนียวขาว และแป้งข้าวเหนียวดำ ร่อนใส่ชามผสมให้เข้ากัน
- จากนั้นจึงใส่น้ำตาลทราย ไข่ไก่ น้ำเปล่า และเกลือ คลุกเคล้าผสมให้เข้ากัน พร้อมค่อยๆ นวดให้น้ำตาลทรายละลายจดหมด
- ตามด้วยใส่กะทิ ผงฟู พร้อมตะล่อมให้เข้ากัน ก่อนตามด้วยมะพร้าวขูด และมะพร้าวอ่อน
- นำแป้งที่ได้เข้าแช่ตู้เย็นประมาณ 2 ชั่วโมง เพื่อให้แป้งเซ็ตตัวดี
- เมื่อครบเวลานำออกจากตู้เย็น ก่อนจะตั้งกระทะ (หรือหากใครมีเตาวาฟเฟิล ก็สามารถใช้ได้) ทาเนย หรือน้ำมันพืชก่อนจะเทแป้งตามลงไป แล้วเกลี่ยให้แป้งดูสม่ำเสมอเท่ากัน
- รอจนเแป้งเริ่มสุก ส่งกลิ่นหอม จึงพลิกแป้งอีกด้านให้สุกดีเท่ากัน ก่อนนำขึ้นจากเตา พร้อมนำเสิร์ฟ
เมนูของหวาน ทำง่ายๆ ต่อยอดเป็นอาชีพได้
นี่คือ 15 เมนูของหวาน พร้อมสูตรวิธีทำที่คัดมาให้แล้วว่าเป็นเมนูขายดี ที่ตอบโจทย์ลูกค้าหลากหลายวัย เพราะทานง่าย อร่อยง่าย และเป็นเมนูคุ้นเคยที่ซื้อง่ายอีกด้วย
สำหรับมือใหม่แนะนำให้เตรียมลงมือทำซ้อมมือบ่อยๆ ปรับสูตร เพิ่มความครีเอทีฟ รับรองว่าการทำของหวานขายจะกลายเป็นอาชีพเสริม หรืองานประจำที่มาครบทั้งความสนุก และหลงรักเหล่าขนมหวานแน่นอน